|
That's my former boss walking somewhere in the crater of a volcano in New Zealand |
One of the
things that I remember really well about my former boss back in New Zealand is
the fact that she spent a lot of time each day walking to and from work. It was
a long walk from midtown Auckland to Epsom. Rain or shine she would walk with
her husband. She told me that beyond the exercise they needed there was an
opportunity to sort out their days and discuss matters at work. By the time
they got home they would have said all that they needed to say and cleared
their heads. Then they could get on with something else.
สิ่งที่ฉันจำได้ดีเกี่ยวกับนายเก่าที่นิวซีแลนด์คือเรื่องที่เธอใช้เวลานานในการเดินมาทำงานและเดินกลับบ้าน
ระยะทางเดินเท้าระหว่างกลางเมืองโอ๊คแลนด์กับบ้านเธอแถวเอพซั่มไกลมาก ไม่ว่าวันนั้นจะมีฝนหรือแดดเปรี้ยงแค่ไหนเธอก็จะเดินโดยที่มีสามีเดินเป็นเพื่อน
เธอเล่าให้ฟังว่านอกเหนือจากการได้ออกกำลังอันเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพแล้วช่วงเวลาที่เธอเดินเป็นโอกาสที่จะได้วางแผนแต่ละวันแล้วก็เม้าท์กันเรื่องงาน
พอกลับถึงบ้านก็เป็นอันเสร็จการพูดคุยเรื่องงาน เท่ากับว่าได้ปลดปล่อยความกดดันของแต่ละวัน
ทีนี้ก็เหลือเวลาช่วงค่ำไว้ทำอย่างอื่น
|
Kibune Shrine in the fog |
I don’t
think I could forget stories about my walking trips. I remember it more than
other activities. There is always an element of fun and a little bit of fear
that you might not be able to make it through. That fear is a positive
challenge. When I could pull through, it is exhilarating every time.
ฉันเองไม่เคยลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้ออกเดินเท้าไปไกลๆ
จำได้มากกว่าตอนไปเที่ยวด้วยวิธีอื่นด้วยซ้ำ
บ่อยครั้งที่มีทั้งความสนุกสนานและความตื่นกลัวว่าจะไปไม่รอดต้องจอดเสียก่อน
ความกลัวนั้นเป็นความท้าทายเชิงบวก เมื่อจบการเดินได้อย่างดีแล้วจะรู้สึกเบิกบานทุกครั้งไป
|
Walking up hill to Kibune Shrine |
|
In the forest on our serious walk |
|
Ancient trees intertwining |
Walking has
been a big part of my life since I was a student. A friend introduced me to
bush walking in Australia and we would go walking long distance in Curracurrang Cove at the Royal National Park in Sydney to ease off study stress. It wasn't just walking. Thrown into the package, there was rock climbing, swimming in the
rock pools by the sea and watching big waves coming in from the ocean. Even in
early spring when the temperature was still around 18 degrees Celsius we would
not hesitate to jump into the sea. From the rock edge we could see some big ships edging on the horizon. They
disappeared from view quite fast. On a clear day you could see as far as
Woolongong. I learnt to love the low lying Australian bush that sprouted after
occasional bush fires. Their flowers were amazing. When I think of Australia I
think of the salty air and the sunshine on my back.
การเดินระยะไกลเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตฉันตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา
ตอนที่อยู่ออสเตรเลียมีเพื่อนคนหนึ่งที่สอนให้รู้จักการไปเดินป่า
แหล่งผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนอันหนักหน่วงที่ไปอยู่บ่อยๆคือเคอราคูแรงโคฟในอุทยานแห่งชาติรอยัลแนชั่นแนลปาร์คในซิดนี่ย์
ไม่ใช่ไปเดินอย่างเดียว แพ็คเกจของเรามีไต่หินผา(เตี้ยๆ) ว่ายน้ำในแอ่งหินริมทะเล
แล้วนั่งแช่มองคลื่นยักษ์จากมหาสมุทรเข้ากระทบฝั่งดังสนั่นหวั่นไหว
แม้ในฤดูใบไม่ผลิที่ตอนกลางวันอากาศยังอยู่ที่ 18 องศาแต่เราก็บ่ยั่นกระโดดลงน้ำกันอย่างไม่คิดชีวิต
จากโขดหินมองออกไปจะเห็นเรือเดินสมุทรปีนอยู่บนขอบโลกจนลับตาไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าวันไหนไม่มีเมฆหมอกจะเห็นวิวเมืองวูลองกองอยู่ไกลโพ้น
ฉันได้เห็นความสวยงามของป่าชายทะเลแบบเตี้ยๆของออสเตรเลียที่ฟื้นตัวกลับมาทุกครั้งหลังไฟไหม้ป่า
ออกดอกสวยแจ่มน่าตื่นตาตื่นใจ
คิดถึงออสเตรเลียทีไรก็จะนึกถึงกลิ่นเกลือทะเลหลังว่ายน้ำแล้วก็แสงแดดอุ่นๆบนแผ่นหลัง
|
Somewhere on the mountain |
|
The sacred beast |
|
The mist |
Twice in my
life I got lost while walking- both times in New Zealand as a lecturer. Once
with a big group of university colleagues in an evergreen forest somewhere
south of Auckland. Thank goodness the group was big so I didn’t panic. We kept
walking in circles until we found our way out. It took us a long time to get
out but we managed. Then there was another time when I went to Cathedral Cove
with a friend. We got lost walking on an isolated beach at nightfall. As it was
autumn, the light disappeared very quickly. All we could see was some faint
lights from houses and the moon but we couldn’t figure out where they were. We
also couldn’t tell whether we were going away or towards the place where we
parked the car on top of the sand dune. We kept climbing the sand dunes to
check where the car was. There was a sense of helplessness. We panicked then
because it was taking too long to find the car and we were both women.
Eventually we did and I live to tell the tale.
ที่ผ่านมาในชีวิตฉันเคยเดินหลงทางถึงสองครั้ง ทั้งสองครั้งที่เกิดขึ้นในนิวซีแลนด์
ครั้งแรกไปกับกลุ่มเพื่อนอาจารย์ตอนไปเดินป่าสนทางตอนใต้ของโอ๊คแลนด์ ตอนนั้นไม่ได้ตกใจมากเพราะว่าไปกันหลายคน
เมื่อรู้ตัวว่าหลงพวกเราค่อยๆเดินเป็นวงกลมกว้างขึ้นเรื่อยๆจนหาทางออกเจอ
เดินนานหน่อยแต่ก็รอดมาได้ อีกครั้งหนึ่งคือตอนไปคาธีดรัลโคฟกับเพื่อน
เราหลงทางที่หาดเปลี่ยวแห่งหนึ่งตอนพระอาทิตย์ตกดิน ในฤดูใบไม้ร่วง มืดเร็วมาก
บางเห็นแสงไฟลางๆจากบ้านคนอยู่ไกลจนกะไม่ถูกว่าอยู่ตรงไหน
แล้วก็มีแสงอ่อนๆของพระจันทร์พอนำทาง อีกอย่างหนึ่งที่ไม่รู้คือว่าเราเดินในทิศทางที่เราจอดรถทิ้งไว้บนเนินทรายหรือเดินห่างออกมา
เราทั้งเดินบนหาดทั้งปีนเนินทรายขึ้นไปส่องหารถ รู้สึกเครียดสิ้นหวังกลัวก็กลัวเพราะเวลามันล่วงเลยมานานเกินทน
เราสองคนก็เป็นผู้หญิงด้วย กว่าจะเจอได้ ไม่งั้นคงไม่มานั่งเขียนหน้าจอแบบนี้หรอก
|
On the way down by train |
|
45 degrees descent |
Michel and I
don’t get a lot of chances to walk along the streets of Bangkok for obvious
reasons. However there is always Khow Yai. We walk there a lot. Still we find
that when we travel overseas our main activity in cities and rural areas is
walking and we would walk till we felt that our bodies would break into pieces.
If we choose to do it any other way we would miss out on so much of lives
around us.
มิเชลกับฉันไม่ค่อยมีโอกาสเดินบนถนนในกรุงเทพบ่อยนักเพราะสาเหตุที่ทราบกันอยู่
แต่เรายังมีเขาใหญ่ เราเดินที่นั่นบ่อยมาก
เวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศกิจกรรมที่เราทำเป็นหลักทั้งในเมืองและในชนบทคือการเดินระยะใกล
เราเดินจนรู้สึกว่าร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
|
Little grand pa handmade toy shop |
|
Kurama Town |
|
Local abundance served chilled |
|
Not to be missed cold noodles |
These photos
were taken at Kibune outside Kyoto. It
was a drizzly summer day. We thought we would take a gentle walk on the hiking
trail but it turned out to be serious mountain climbing. It took us around 90
minutes of ascending descending. We
didn’t really have the right shoes. As soon as we went pass the gate, it was
tough. So much went through our heads while walking. I can understand how some
people keep a diary of their walking trips. There was no other choice but to
keep on going. Losing our breath and shaking at some point we stopped and
talked. How long it has been since we were walking on trails this difficult.
Too long! We stopped a few times at the small shrines on the way to wipe off
the sweat and cool off with the water from the wells. We sweated so much even
in the rain. I was thankful that my old shoes were comfortable…That is until
the soles came off 5 minutes later. The humidity unglued my soles. On the last
leg of our walk we took a path where we could take the train downhill to Kurama.
By then it was after 2 pm. We treated ourselves with a big beautiful and
elaborate mountain style lunch at a local restaurant. The proprietor of the
restaurant discovered that we both have been bitten by mountain slugs. One of
the slugs fell off Michel’s legs leaving spots of blood. I didn’t even know
they existed there. Feeling sorry for Michel, I also discovered that I had two slugs
while he had one. An onsen bath afterwards was a really good idea when you
consider all that happened. My shoes survived the Eizan train ride back to
Kyoto. I bought a new pair of shoes that evening. I left my broken shoes in the
shoe shop.
ภาพเหล่านี้มาจากคิบุเนะไกล้เมืองเกี่ยวโต วันนั้นฝนตกปรอยๆ เรากะว่าจะเดินแบบเบาๆ
ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆตามทางในแผนที่ซึ่งดูไม่น่าจะยากเท่าไหร่
ที่ไหนได้พอหลุดเข้าไปปั้บกลายเป็นทางขึ้นเขาแบบเอาจริง
ใช้เวลาเดินขึ้นเขาลงเขาทั้งหมด 90 นาที เราไม่ได้เตรียมรองเท้าที่เหมาะสมมาด้วย
พอผ่านประตูรั้วเข้ามาก็เริ่มประเดิมด้วยความโหด ใช้แรงอึดเดินฝ่าความทรมานไปเรื่อยๆ
หัวสมองอัดแน่นไปด้วยความคิดฟุ้งซ่านต่างๆนาๆ
เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมบางคนถึงเขียนบันทึกการเดินป่าแต่ละครั้งอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
จะถอยกลับก็ไม่ได้ ต้องไปต่อ หายใจแทบไม่ทัน
บางทีก็ตัวสั่นจากความเหนื่อยอย่างสุดขั้วจนต้องหยุดพักคุยกันบ้าง ไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราเดินหนักแบบนี้มันเมื่อไหร่กัน
แต่ที่แน่ๆคือต้องนานมาแล้ว! เราได้หยุดที่ศาลเจ้าเล็กๆบนเขาสองสามแห่งเพื่อซับเหงื่อและวักน้ำเย็นในบ่อบาดาลมาล้างหน้า แม้ฝนจะตกปรอยๆแต่เหงื่อเราไหลไม่หยุด ฉันนึกในใจว่ายังดีที่รองเท้าใส่สบาย...อีกห้านาทีต่อมาส้นหลุด อากาศชื้นจนกาวรองเท้าเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
ช่วงสุดท้ายของเส้นทางมีบริการรถไฟเล็กพาเราลงเนินมาที่คุรามะ ตอนนั้นก็เลยบ่ายสองแล้ว เราฉลองด้วยอาหารภูเขาชุดใหญ่ปรุงและจัดวางอย่างประณีตที่ร้านอาหารท้องถิ่น
เจ้าของร้านแอบเห็นว่าเราสองคนโดนทากกัด
ทากที่กัดมิเชลหล่นลงบนพื้นมีเลือดหยดตามเป็นทาง
ฉันไม่รู้ว่าที่นั่นมีทากด้วย
มัวแต่สงสารมิเชลตาเหลือบไปเห็นทากกัดตัวเราเองถึงสองตัว มิเชลโดนไปตัวเดียวเอง
จัดการกับอาหารเสร็จเลยถามเจ้าของร้านว่าออนเซ็นอยู่ไหน
อยากไปเหลือเกินเพราะวันนี้เจอการผจญภัยมาเยอะแล้ว ขากลับฉันลากรองเท้าอย่างทุลักทุเลขึ้นรถไฟเออิซันกลับเข้าเกี่ยวโต
แวะไปซื้อรองเท้าใหม่ในค่ำวันนั้น แล้วทิ้งรองเท้าเก่าไว้ที่ร้านเลย
|
On the walk to our onsen retreat |
|
Mountain stream on the right |
|
Outdoor onsen |
|
The maps so sweet looking that we were so unprepared for the big walk. |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น